oral tradition ใน ภาษาอังกฤษ หมายถึงอะไร

ความหมายของคำว่า oral tradition ใน ภาษาอังกฤษ คืออะไร บทความอธิบายความหมายแบบเต็ม การออกเสียงพร้อมกับตัวอย่างสองภาษาและคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีใช้ oral tradition ใน ภาษาอังกฤษ

คำว่า oral tradition ใน ภาษาอังกฤษ หมายถึง เรื่องเล่า หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม โปรดดูรายละเอียดด้านล่าง

ฟังการออกเสียง

ความหมายของคำว่า oral tradition

เรื่องเล่า

noun (form of human communication wherein knowledge, art, ideas and cultural material is received, preserved and transmitted orally from one generation to another)

ดูตัวอย่างเพิ่มเติม

To facilitate memorization of oral traditions, each ruling or tradition was reduced to a brief, concise phrase.
เพื่อ ทํา ให้ การ จด จํา คํา สอน สืบ ปาก ง่าย ขึ้น จึง มี การ ย่อ กฎเกณฑ์ หรือ คํา สอน ลง เป็น วลี สั้น ๆ และ รวบรัด.
How did Jesus’ position on divorce differ completely from that related in the oral traditions of the Jews?
จุด ยืน ของ พระ เยซู ใน เรื่อง การ หย่า ต่าง ไป จาก ที่ มี กล่าว กัน ตาม ประเพณี ที่ เล่า สืบ ปาก ของ คน ยิว โดย สิ้นเชิง นั้น อย่าง ไร?
□ Why did the Jews create their oral traditions?
▫ ทําไม ชาว ยิว จึง ได้ ตั้ง ประเพณี ที่ เล่า สืบ ปาก ขึ้น มา?
To give weight to his teachings, he appeals neither to oral traditions nor to well-known Jewish rabbis.
เพื่อ ให้ คํา สอน ของ พระองค์ มี น้ําหนัก มาก ขึ้น พระองค์ มิ ได้ อ้าง ถึง ประเพณี สืบ ปาก หรือ คํา พูด ของ พวก รับบี ชาว ยิว ที่ มี ชื่อเสียง.
(b) What made the oral traditions such a heavy load on the shoulders of workingmen?
(ข) อะไร ทํา ให้ ประเพณี ที่ เล่า สืบ ปาก กลาย เป็น ภาระ หนัก กับ คน ใช้ แรงงาน ทั้ง หลาย?
□ What false claim did the Jews make about the origin of their oral traditions?
▫ พวก ยิว กล่าว อ้าง อย่าง ผิด ๆ อย่าง ไร ถึง ที่ มา ของ ประเพณี ของ เขา ที่ เล่า สืบ ปาก?
Many who claimed to be his followers appealed to oral tradition as authority for new teachings.
หลาย คน ซึ่ง อ้าง ว่า เป็น สาวก ของ พระองค์ อ้าง ถึง ประเพณี สืบ ปาก ประหนึ่ง เป็น หลักฐาน สําหรับ คํา สอน ใหม่ ๆ.
Righteousness Not by Oral Traditions
ความ ชอบธรรม ใช่ ว่า ได้ มา โดย ประเพณี ที่ เล่า สืบ ปาก
Having their own oral traditions, however, they differ from the first Karaites.
แต่ โดย ที่ มี คํา สอน สืบ ปาก ของ ตน เอง พวก เขา จึง แตกต่าง จาก พวก คาราอิเต สมัย แรก.
They considered the written Hebrew Scripture text, not the oral traditions, to be holy.
พวก เขา ถือ ว่า บท จารึก พระ คัมภีร์ ภาค ภาษา ฮีบรู เป็น สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ ใช่ คํา สอน สืบ ปาก.
5 During the first century C.E., because of oral traditions, the Pharisees in general tended to judge others harshly.
5 ใน ระหว่าง ศตวรรษ แรก สากล ศักราช เพราะ เหตุ ที่ มี ประเพณี ที่ เล่า สืบ ปาก พวก ฟาริซาย ทั่ว ๆ ไป มัก จะ ตัดสิน คน อื่น ๆ อย่าง ไม่ ปรานี.
8-10. (a) How did the oral traditions of the Jewish religious leaders promote contempt for non-Jews and women?
8-10. (ก) ประเพณี สืบ ปาก ของ ผู้ นํา ศาสนา ชาว ยิว ส่ง เสริม การ ดูถูก คน ที่ ไม่ ใช่ ชาว ยิว และ พวก ผู้ หญิง อย่าง ไร?
The first rabbi to give specific form and structure to the many different oral traditions was Akiba ben Joseph (c.
รับบี คน แรก ที่ ให้ รูป แบบ และ โครง สร้าง โดย เฉพาะ สําหรับ คํา สอน สืบ ปาก ที่ มี แตกต่าง กัน มาก มาย นั้น คือ อากิบา เบน โจเซฟ.
(Numbers 5:23; Joshua 24:26; Isaiah 10:19) But critics disagreed, arguing that Bible history was largely transmitted by unreliable oral tradition.
(อาฤธโม 5:23; ยะโฮซูอะ 24:26; ยะซายา 10:19) แต่ นัก วิจารณ์ เคย ไม่ เห็น ด้วย โดย แย้ง ว่า ประวัติศาสตร์ ใน คัมภีร์ ไบเบิล ส่วน ใหญ่ ถ่ายทอด ตาม คํา บอก เล่า สืบ ปาก ที่ เชื่อถือ ไม่ ได้.
15. (a) According to the Jews, when did their oral traditions originate, and how did they elevate them above the written Mosaic Law?
15. (ก) ตาม คํา อ้าง ของ พวก ยิว ประเพณี ที่ เล่า สืบ ปาก เริ่ม ขึ้น เมื่อ ไร และ พวก เขา ได้ ยกย่อง ให้ ความ สําคัญ ต่อ พระ บัญญัติ ปากเปล่า ยิ่ง กว่า พระ บัญญัติ ของ โมเซ โดย วิธี ใด?
(Luke 20:47) One oral tradition said: “The pious men of old used to wait an hour before they said the Tefillah [prayer].”
(ลูกา 20:47) ข่าว ที่ เล่า สืบ ปาก ราย หนึ่ง บอก ว่า “คน โบราณ เป็น ผู้ ทรง ศีล เคย รอ เป็น ชั่วโมง ก่อน กล่าว เทฟิลลา [คํา อธิษฐาน].”
Indeed, the Kauwerak have an oral tradition about a year when the warm season ended in June, followed by extreme cold and starvation.
อัน ที่ จริง ชน เผ่า เคาเวรัก เล่า สืบ ปาก กัน มา ว่า มี อยู่ ปี หนึ่ง ฤดู ร้อน ได้ สิ้น สุด ลง ใน เดือน มิถุนายน หลัง จาก นั้น ก็ มี อากาศ หนาว รุนแรง และ การ อดอยาก.
These served as a written aid in the reading and pronouncing of vowel sounds, whereas previously the pronunciation had been handed down by oral tradition.
ระบบ ดัง กล่าว เป็น เครื่อง ช่วย ใน การ อ่าน และ ออก เสียง สระ ใน ขณะ ที่ การ ออก เสียง ก่อน หน้า นี้ สืบ ทอด กัน มา โดย คํา สอน สืบ ปาก.
(2 Peter 3:15) Additionally, The Anchor Bible Dictionary states: “Dependence on oral tradition could easily account for the memorable sayings of Jesus being recorded in identical form.”
(2 เปโตร 3:15) นอก จาก นั้น พจนานุกรม ดิ แองเคอร์ ไบเบิล กล่าว ว่า “ธรรมเนียม การ บอก เล่า เรื่อง ราว แบบ ปาก ต่อ ปาก อาจ เป็น เหตุ ให้ มี การ บันทึก คํา ตรัส อัน น่า จด จํา ของ พระ เยซู ด้วย ถ้อย คํา ที่ เหมือน ๆ กัน.”
From existing oral tradition, audiences knew the tales of the long siege, the epic duels outside the city walls, and the cunning trick that finally won the war.
จากเรื่องเล่าปากต่อปาก ผู้ฟังได้รู้จักเรื่องราว เกี่ยวกับการล้อมเมืองอย่างยาวนาน การดวลศึกนอกกําแพงเมือง รวมถึงกลเม็ดที่ช่วยให้ชนะสงคราม
The Mishnah says: “Greater stringency applies to the observance of the words of the Scribes [their oral traditions] than to the observance of the words of the written Law.”
มิชนาห์ กล่าว ว่า “ควร ปฏิบัติ ตาม ถ้อย คํา ของ พวก อาลักษณ์ [คํา สอน สืบ ปาก ของ เขา] เข้มงวด กวดขัน หนัก มือ ยิ่ง กว่า การ ยึด ปฏิบัติ ตาม พระ บัญญัติ ที่ จารึก ไว้.”
But as time went by, particularly after the destruction of Jerusalem in 607 B.C.E., there developed the religion of Judaism, based more on oral traditions than on the written Law of Jehovah.
แต่ เมื่อ เวลา ผ่าน ไป โดย เฉพาะ อย่าง ยิ่ง หลัง จาก กรุง ยะรูซาเลม ถูก ทําลาย ใน ปี 607 ก่อน สากล ศักราช ศาสนา ลัทธิ ยูดาย ก็ พัฒนา ขึ้น มา ยึด ถือ ประเพณี ที่ สอน สืบ ปาก ยิ่ง เสีย กว่า พระ บัญญัติ ของ พระ ยะโฮวา ซึ่ง จารึก เป็น ลายลักษณ์ อักษร.
(Malachi 2:13-16; Matthew 19:3-9) Oral traditions allowed a man to divorce his wife “even if she spoiled a dish for him” or “if he found another fairer than she.” —Mishnah.
(มาลาคี 2:13-16; มัดธาย 19:3-9) ประเพณี สืบ ปาก อนุญาต ให้ ผู้ ชาย หย่า ภรรยา ของ ตน ได้ ถ้า “เธอ ทํา อาหาร ไม่ ถูก ปาก สามี” หรือ “ถ้า สามี พบ ผู้ หญิง อื่น ที่ น่า รัก กว่า ภรรยา ของ ตน.”—มิชนาห์.
3 The difference between Jesus’ teaching and that of the scribes and the Pharisees was not only the content —truths from God in contrast with burdensome oral traditions from men— but also the way it was delivered.
3 การ สอน ของ พระ เยซู ไม่ เพียง ต่าง กัน กับ การ สอน ของ อาลักษณ์ กับ ฟาริซาย ทาง ด้าน เนื้อหา เท่า นั้น อัน ได้ แก่ ความ จริง ที่ มา จาก พระเจ้า ซึ่ง แตกต่าง จาก คํา สอน สืบ ปาก ของ มนุษย์ อัน ก่อ ภาระ หนัก แต่ รวม ไป ถึง วิธี การ สอน ของ พระองค์ ด้วย.
They sought the Kingdom and righteousness by means of the Mosaic Law, which they claimed included the oral traditions, since they believed that both the written Law and the oral traditions were given by God to Moses at Mount Sinai.
พวก เขา ได้ แสวง ราชอาณาจักร และ ความ ชอบธรรม โดย ทาง พระ บัญญัติ ของ โมเซ ซึ่ง เขา อ้าง ว่า ได้ รวม เอา ประเพณี ที่ เล่า สืบ ปาก ไว้ ด้วย เนื่อง จาก เขา เชื่อ ว่า ทั้ง กฎหมาย ที่ จารึก เป็น ลายลักษณ์ อักษร และ ประเพณี ที่ เล่า สืบ ปาก นั้น พระเจ้า ได้ ประทาน แก่ โมเซ ณ ภูเขา ซีนาย.

มาเรียนกันเถอะ ภาษาอังกฤษ

ตอนนี้เมื่อคุณรู้ความหมายของ oral tradition ใน ภาษาอังกฤษ มากขึ้นแล้ว คุณจะได้เรียนรู้วิธีใช้คำเหล่านี้ผ่านตัวอย่างที่เลือกไว้และวิธี อ่านแล้วอย่าลืมเรียนรู้คำที่เกี่ยวข้องที่เราแนะนำ เว็บไซต์ของเรามีการปรับปรุงคำศัพท์ใหม่ๆ และตัวอย่างใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้คุณสามารถค้นหาความหมายของคำอื่นๆ ที่คุณไม่ทราบใน ภาษาอังกฤษ

คำที่เกี่ยวข้องของ oral tradition

อัปเดตคำของ ภาษาอังกฤษ

คุณรู้จัก ภาษาอังกฤษ ไหม

ภาษาอังกฤษมาจากชนเผ่าดั้งเดิมที่อพยพไปยังอังกฤษและมีวิวัฒนาการมาเป็นเวลากว่า 1,400 ปี ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่พูดมากเป็นอันดับสามของโลก รองจากจีนและสเปน เป็นภาษาที่สองที่มีการเรียนรู้มากที่สุด และภาษาราชการของเกือบ 60 ประเทศอธิปไตย ภาษานี้มีจำนวนผู้พูดเป็นภาษาที่สองและภาษาต่างประเทศมากกว่าเจ้าของภาษา ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการร่วมของสหประชาชาติ สหภาพยุโรป และภาษาต่างประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย และองค์กรระดับภูมิภาค ปัจจุบัน ผู้พูดภาษาอังกฤษทั่วโลกสามารถสื่อสารกันได้อย่างคล่องตัว